Product

กลิ่นอับไม่ใช่เรื่องตลก!! ในช่วงหน้าฝน แบบนี้ นอกจากจะต้องเจอปัญหาน้ำขัง การจราจรที่ติดขัดแล้ว อีกหนึ่งปัญหายอดฮิตของรถยนต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ เรื่อง “กลิ่น” ภายในรถยนต์ สาเหตุหลักๆจะมาจากระบบแอร์ที่มีความชื้นสะสม ที่เกิดจากการตู้แอร์ใต้คอนโซน ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นอับที่ไม่พึงประสงค์ และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราต่างๆมากมาย ซึ่งจะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพของคนในรถ วันนี้ จี.พี.อะไหล่ มีวิธีกำจัดกลิ่นเหม็นอับง่ายๆด้วยตัวเองมาฝากกันครับ 1.เปิดประตูรถตากแดด เป็นวิธีพื้นฐานที่ง่ายที่สุด ให้แสงแดดเป็นตัวช่วยในการทำให้ภายในตัวรถแห้ง และให้ลมที่พัดผ่านช่วยระบายกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป 2.สเปรย์ดับกลิ่น ปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายกลิ่น ฉีดเข้าไปในตัวรถก่อนที่เราใช้งานซัก 15 นาที ช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ 3.ใบชาจีนแห้ง เอาไปห่อใส่ผ้าบางไว้ แล้วนำไปวางไว้ในรถ ใบชาจะช่วยดูดกลิ่นอับไปได้ 4.ถ่านหุงข้าว ภูมิปัญญาชาวบ้านแต่โบราณ นำเป็นก้อนใหญ่ๆ วางไว้ที่มุมต่างๆ ของตัวรถ ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ถ่านจะดูดกลิ่นอับออกไปจากตัวรถได้ 5.น้ำส้มสายชู ใช้แบบเข้มข้น ตักใส่ถ้วยเล็กๆ ซักประ

กระะแสรถไฟฟ้ามาแรง!! เชื่อว่าตอนนี้ลายคนที่ยังลังเลว่า จะซื้อรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง หรือรถยนต์ไฟฟ้าดี วันนี้เราจะมาเทียบความแตกต่างให้เห็นกันชัด ๆ ว่า ข้อดี – ข้อเสีย ของ รถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แตกต่างกันอย่างไรครับ . ด้านแหล่งพลังงาน ????รถยนต์ไฟฟ้า : ชาร์จไฟได้จากที่บ้านโดยการสามารถติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย (ค่าติดตั้งเริ่มต้น 11,000 บาท) หรือใช้บริการที่สถานีชาร์จต่างๆ ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จจะยังใช้เวลาค่อนข้างนานขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องชาร์จ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และกำลังไฟฟ้าของเครื่องชาร์จ ????รถยนต์น้ำมัน : เติมน้ำมันได้ที่สถานีบริการน้ำมันทั่วไป ใช้เวลาในการเติมน้ำมันไม่นาน . ด้านความสิ้นเปลืองพลังงาน ????รถยนต์ไฟฟ้า: เฉลี่ย 0.6-1 บาท ต่อกิโลเมตร ????รถยนต์น้ำมัน: เฉลี่ย 3 บาท ต่อกิโลเมตร ทั้งนี้ ค่าความสิ้นเปลืองข้างต้นเป็นค่าเฉลี่ยเบื้องต้นที่เปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย เช่น ขนาดเครื่อง รุ่นรถ อายุการใช้งาน การขับขี่ เป็นต้น . ด้านการซ่อมบำรุง ????รถยนต์ไฟฟ้า : ชิ้นส่วนทั้งคันน้อย ซ่อมบำรุงได้อย่า

M-Flow เป็นระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (Free Flow) โดยการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยตรวจจับป้ายทะเบียน เพื่อความสะดวกรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ด่านเก็บเงิน สามารถขับผ่านได้ทันทีด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องหยุดหรือชะลอรถ ช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกประเภทที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนทางหลวงทั้งรถยนต์ 4 ล้อ รถยนต์ 6 ล้อ และมากกว่า 6 ล้อ ยกเว้น รถป้ายแดง รถป้ายทะเบียนดัดแปลง รถโดนสวมทะเบียน และรถที่ป้ายทะเบียนไม่ชัดเจน ชำรุด มีสิ่งบดบัง สำหรับระบบ ผ่านทาง M-Flow นำมาใช้เต็มรูปแบบแล้ว 4 ด่าน ได้แก่ ด่านทับช้าง 1 ด่านทับช้าง 2 ด่านธัญบุรี 1 และด่านธัญบุรี 2 โดยจะอยู่ช่องขวาสุดของแต่ละด่านฯ ที่เป็นช่องเก็บเงิน M-Pass และ Easy Pass เดิมนั่นเอง M-Flow มีประโยชน์อย่างไร❓ 1.ไม่ต้องทนติดหน้าด่าน ใช้ระบบเทคโนโลยี Video Tolling ตรวจจับป้ายทะเบียนรถ อัตโนมัติวิ่งผ่านได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวจ่ายเงิน หรือ รอไม้กั้นเปิด 2. ไม่ต้องชะลอความเร็ว รถสามารถวิ่งผ่านด่านได้ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เกิน 120 กม./ชม. สามารถระบายรถได้ดี… __________________________

เปิดข้อกฎหมายและบทลงโทษ ว่าด้วยเรื่องการขับรถ-คนเดิน บนทางม้าลาย พบไม่หยุดให้คนข้ามปรับเพียง 1,000 บาท ขณะที่คนไม่ข้ามทางม้าลายปรับไม่เกิน 200 บาท เปิดกฎหมายเกี่ยวกับ #ทางม้าลาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งพบว่ามีทั้งข้อบังคับสำหรับคนขับรถและคนเดินถนน ⛔️มาตรา 22 ผู้ขับขี่ต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง และต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้ามหรือรถที่มาทางขวาก่อน ⛔️มาตรา 57 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่จอดรถในทางข้าม หรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม ⛔️มาตรา 70 ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้ามเส้นให้รถหยุด หรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ ⛔️มาตรา 104 ภายในระยะไม่เกิน 100 เมตร นับจากทางข้ามห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามทางนอกทางข้าม ⛔️มาตรา 105 คนเดินเท้าซึ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางข้ามที่มีไฟสัญญาณจราจรควบคุมคนเดินทาง ให้ปฏิบัติตามไฟสัญญาณจราจรที่ปรากฏต่อหน้า ดังนี้ เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีแดง ไม่ว่าจะมีรูปหรือข้อความเป็นการห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้คนเดินหน้าหยุดรออยู่บนทางเท้า บนเกาะแบ่งทางเดินรถหรือในเขตปลอดภัย เว้นแต่ทางใดที่ไม่มีทางเท้า ให้หยุดรอบนไหล่ทางหรือ

น้ำมันเกียร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกียร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยเรื่องการทำงานของระบบเกียร์แล้ว ช่วยถนอมดูแลเกียร์รถยนต์ของคุณให้ใช้งานได้ดีไม่พังไว โดยทั่วไปแล้วควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 30,000-40,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรถที่ต้องมีการเปลี่ยนการเข้าเกียร์บ่อย ๆ เช่น รถที่ขับในกรุงเทพฯ ควรเปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000-20,000 กิโลเมตร หรือประมาณปีละครั้ง ซึ่งถือเป็นระยะเหมาะสมที่สุด เมื่อรู้แล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ คุณจำเป็นที่จะต้องเลือกน้ำมันเกียร์ให้ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งาน โดยต้องรู้ก่อนว่ารถคุณเป็นรถประเภทอะไร เกียร์ธรรมดา หรือ เกียร์ออโต้ ถ้ารู้ชนิดเกียร์แล้วก็ไม่ยากที่จะเลือกน้ำมันเกียร์เลยครับ น้ำมันเกียร์ธรรมดา: มีความหนืดสูงกว่า รองรับการทำงานของรถเกียร์ธรรมดาที่เป็นระบบคลัทช์และการสับเกียร์ซึ่งทำให้เกิดแรงเสียดสีค่อนข้างมาก จึงต้องใช้น้ำมันเกียร์ที่มีความหนืดสูง เพื่อให้เปลี่ยนเกียร์ได้ลื่นไหลและป้องกันการสึกหรอได้ดีเยี่ยม โดยส่วนใหญ่จะมีค่าความหนืดอยู่ที่ 75W-85 ขึ้นไป น้ำมันเกียร์ออโต้: มีความหนืดต่ำกว่า รองรับการทำงานของเกียร์ออโต้ที่เป็น

สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงน่าเป็นห่วง วันนี้ บริษัท จี.พี.อะไหล่ จำกัด จึงขอนำเอา แนวปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อโควิด-19 จากกระทรวงสาธารณสุขมาฝากกันครับ โดยเน้นการตรวจ ATK ด้วยตนเอง หรือกับหน่วยให้บริการเป็นอันดับแรก กรณีตรวจด้วยตนเอง หากผล ATK เป็น ‘บวก’ ให้ติดต่อ สปสช. โทร 1330 ได้ตลอด 24 ชม. หรือแอดไลน์ @nhso จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ ประเมินอาการให้ว่าอยู่ในระดับใด กรณีตรวจกับหน่วยให้บริการ เจ้าหน้าที่ที่หน่วยให้บริการจะเป็นผู้ประเมินอาการ สำหรับ ผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการน้อย และไม่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคประจำตัว ผู้ป่วยสามารถเข้า Home Isolation หรือ Community Isolation ได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยติดตามสอบถาม ดูแลอาการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดส่งยาและสิ่งของจำเป็นให้จนกระทั่งหายดี ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาล เนื่องจากโควิด-19 #สายพันธุ์โอมิครอน แพร่ระบาดง่าย แต่อาการไม่รุนแรง แต่ถ้าในระหว่างช่วง Home Isolation หรือ Community Isolation แล้วผู้ป่วยมีอาการแย่ลง เจ้าหน้าที่ก็จะประสานส่งตัวผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาล เป็นกรณีต่อมา สำหรับผู้ป่

ปัญหาจากน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ❗️❗️ 1.รถวิ่งอืด เร่งไม่ขึ้น???? เมื่อน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ส่งผลต่อการทำงานภายในระบบเครื่องยนต์ ทำให้รถวิ่งอืดกว่าเดิม จากที่เคยวิ่งได้ปกติ กลับวิ่งได้ไม่เร็วเท่าเดิม หรือต้องใช้เวลากว่ารอบเครื่องจะได้ที่ มีผลต่อการเร่งแซง หากไม่ได้จังหวะ หรือรอบเครื่องไม่ถึง การเร่งแซงอาจเกิดอันตรายได้ ปล่อยไปนานๆ อาจเครื่องพัง . 2.ชิ้นส่วนภายในสึกหรออย่างรวดเร็ว???? จากการที่น้ำมันเครื่องมีสิ่งต่างๆ ปะปน ในระหว่างที่หมุนวนใช้งานอยู่ในระบบ สิ่งเหล่านี้อาจเข้าไปขูดขีดทำให้ชิ้นส่วนภายในเกิดรอย และสึกหรอเร็วกว่าปกติ ชิ้นส่วนเสื่อมสภาพเร็วกว่าเวลาอันควร . 3.เครื่องยนต์มีเสียงดัง???? เพราะชิ้นส่วนภายในเริ่มสึกหรอ หรือมีการใช้งานหนักโดยไม่ได้รับการดูแล เครื่องยนต์จึงมีเสียงดัง หรือน้ำมันเครื่องแห้งเพราะไม่เคยเติมเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว . 4.รถกินน้ำมัน???? น้ำม้นเครื่องที่ใช้งานมานานจนเสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่หลงเหลือสารที่ช่วยหล่อลื่นและดูแลภายในเครื่องยนต์แล้ว ยังทำให้กินน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย เพราต้องใช้พลังงานในการขับเคลื